Home » » ภาครัฐยันสัมปทานคุ้มกว่า

ภาครัฐยันสัมปทานคุ้มกว่า

Written By Unknown on Saturday, 20 February 2010 | 04:48


เวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกรณีการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ในวันที่ 20 ก.พ. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เป็นการเปิดโอกาสให้ภาครัฐซึ่งสนับสนุนการเปิดสัมปทานได้อธิบายเหตุผลความจำเป็น ขณะเดียวกันเป็นการเปิดให้ภาคประชาชนในฐานะฝ่ายคัดค้านได้เสนอแนะและข้อห่วงใย
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าแผนการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ได้เตรียมดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2555 แต่ก็มีเสียงคัดค้านอยู่ในหลายประเด็น เช่น ควรแก้ไขกฎหมายเก่าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้ รสนา โตสิตระกูล สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และภาคประชาชน ได้เสนอให้ใช้ระบบแบ่งปันผลผลิต (พีเอสซี) แทนระบบสัมปทานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และขอให้ชะลอการเปิดสัมปทานรอบใหม่ไปก่อนเพื่อแก้ไข พ.ร.บ. ปิโตรเลียมพ.ศ.2514เพราะหากจะใช้ระบบพีเอสซี จะต้องมีกฎหมายใหม่มารองรับ

ด้าน คุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะฝ่ายสนับสนุนการเปิดสัมทปานให้เหตุผลว่า ข้อเสนอให้เปลี่ยนไปใช้ระบบพีเอสซีแทนระบบสัมปทานโดยให้เหตุผลว่าระบบพีเอสซีมีความดปร่งใสกว่า และรัฐจะได้ผลตอบแทนมากกว่าจากการเจรจาตกลง ซึ่งข้อเสนอนี้คือให้ประเทศไทยมีสิทธิในปิโตรเลียมและให้รัฐบาลเป็นผุ้ลงทุนสำรวจ

"ต้องถามกลับว่ารัฐบาลมีเงินมากพอหรือไม่ เพราะการสำรวจ 1 หลุมใช้เงินถึง  120 ล้านบาท หากไม่เจอแล้วใครรับผิดชอบ การที่รัฐเลือกใช้ระบบสัมปทานเพราะต้องกาารให้เอกชนมารับความเสี่ยงที่จะเข้าไปลงทุนแทนรัฐ ประเทศเพื่อนบ้านที่ใช้ระบบพีเอสซี จะต้องตั้งบริษัทน้ำมันแห่งชาติเข้าไปร่วมลงทุนกับเอกชนในการสำรวจเพราะ ขั้นตอนนี้ไม่เหมาะกับการเมืองแบบไทยๆ ถ้าเทียบกับการเปิดเผยข้อมูลแล้ว ระบบพีเอสซีเปิดเผยข้อมูลได้น้อยมาก เมื่อเทียบกับระบบสัมปทาน" คุรุจิต อธิบาย

รองปลัดพลังงาน ย้ำว่า ภาครัฐต้องเร่งสำรองปิโตรเลียม โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติที่จะทยอยหมดใน 7 ปีข้างหน้า เหตุผลนี้เกิดคำถามตามมาว่า จริงหรือไม่ ดังนั้นกระทรวงพลังงานหรือกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะต้องชี้แจงให้ผู้ร่วมเวทีเชื่อถือ เพราะที่ผ่านมาข้อมูลของภาครัฐถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นข้อมูลที่บิดเบือน

ขณะที่ ทวารัฐ สูตะบุตร รองปลัดกระทรวงพลังงาน ระบุว่า ขั้นตอนที่จะเปิดสัมปทานรอบใหม่ เป็นการเปิดให้เอกชนยื่นขอสิทธิ และจะสรรหาผู้ที่สนใจและมีคุณสมบัติถูกต้องเข้ามาลงทุน โดยต้องใช้เวลาพิจารณาคัดเลือกอีก 120 วัน เมื่อคัดเลือกบริษัทที่เหมาะสม เพื่อรับสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแล้ว กว่าจะดำเนินการสำรวจและพิสูจน์ว่ามีปิโตรเลียมหรือไม่นั้น ต้องใช้เวลาอีกกว่า 5-7 ปี

"หากภาครัฐยังล่าช้าและไม่เร่งรัดให้มีการสำรวจ ในขณะที่ปริมาณความต้องการใช้พลังงานยังสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็เท่ากับว่าประเทศไทยต้องเสี่ยงต่อความไม่มั่นคงด้านพลังงานยิ่งขึ้น ซึ่งจากข้อมูลของปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่พิสูจน์ได้ (พี1) ไทยจะมีปริมาณก๊าซธรรมชาติเหลือใช้ได้ 6.4 ปี บนพื้นฐานหากไม่มีการขุดเจาะสำรวจแหล่งปิโตรเลียมใหม่" ทวารัฐ ระบุ

ต้องรอติดตามว่าผลสรุป ของเวทีที่รัฐบาลจัดขึ้นจะมีทาง ออกสำหรับความมั่นคงพลังงานหรือไม่

ที่มา: posttoday.com

0 comments:

Post a Comment

Popular Posts

Powered by Blogger.